เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี Projek Sama Sama จัดวงประชุม “War Room Rakyat วงคุยราษฎร์ บทเรียนภัยพิบัติปาตานี/ชายแดนใต้” โดยมีองค์กรจากหลากหลายภาคส่วนเข้าร่วมระดมความคิดเห็น อาทิ องค์กรเยาวชนที่คอยให้ความช่วยเหลือในช่วงอุทกภัย เช่น องค์การเยาวชนเมืองสาย (Persai) เครือข่ายนักศึกษา-เยาวชนเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (JEEP) เครือข่าย JCMB (HALA BALA YOUTH) Lab off เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายภาคประชาสังคม เช่น สมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (CAP) The Patani มูลนิธินูซันตาราเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา สภาประชาสังคมชายแดนใต้ สมาคมเพื่อสันติภาพภาคประชาชน ศูนย์วัฒนธรรมอิสลามเพื่อการพัฒนา (PUKIS) The Looker เป็นต้น มีสื่อมวลชน เช่น Thai PBS The Motive WartaniTODAY เป็นต้น
มีภาควิชาการเข้าร่วมให้ความเห็นด้วย เช่นคณาจารย์และนักวิจัยจากคณะวิทยาการสื่อสาร คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาเขตปัตตานี CSCD สถาบันสันติศึกษา ม.อ.ปัตตานี เป็นต้น อีกทั้งยังมีภาคการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นเข้าร่วม เช่น สส.พรรคประชาชน นายก อบต.ควน อ.ปะนาเระ ประธานชุมชนมุสลิมสัมพันธ์ เขตเทศบาลนครยะลา พรรคประชาชนปัตตานี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผู้นำศาสนา นายแพทย์ ตลอดจนผู้สนใจเข้าร่วมระดมความคิดเห็นอีกหลากหลายภาคส่วนจนล้นห้องประชุม
การประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อถอดบทเรียน เปิดอกคุยถึงความเสียหาย หรือสิ่งที่พบเห็น ระดมสมอง ระดมความคิดเห็น วาดภาพอนาคตการสร้างแนวปฏิบัติในการป้องกันภัยพิบัติภาคประชาชน โดยวงประชุมเริ่มด้วยการนำเสนอของ ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ คณะพยาบาลศาสตร์สงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี ว่าด้วยเรื่อง บทสรุปอุทกภัยชายแดนภาคใต้การเฝ้าระวัง การแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้
ใจความสำคัญคือผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนส่งผลให้ภัยพิบัติมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนไปสู่คำถามที่ว่าเราจะอยู่กับอุทกภัยอย่างปลอดภัยได้อย่างไร
เช่นเดียวกับกรณีที่ญี่ปุ่นที่สามารถปรับตัวอยู่ร่วมกับแผ่นดินไหว ซึ่งมีการเสนอว่าให้ภาครัฐเตรียมศูนย์อพยพหรือพื้นที่ปลอดภัย ตลอดจนจัดเตรียมระบบบัญชาการในชุมชนให้พร้อมรับกับสถานการณ์ในอนาคต
ผู้เข้าร่วมได้ฝากถึงหลายๆ ภาคส่วน เช่น ภาครัฐควรตระหนักถึงเรื่องความปลอดภัยของชีวิตประชาชนเป็นลำดับแรก อย่าฉวยโอกาสทำงานเอาหน้า และควรเยียวยาด้วยความจริงใจ เป็นต้น ฝากถึงภาคประชาชน เช่น ประชาชนควรตอบสนองต่อสถานการณ์เร่งด่วนได้อย่างรวดเร็ว เพราะหากคนในพื้นที่ตั้งตัวได้เร็ว จะจัดการได้เร็วและมีประสิทธิภาพได้ดีกว่ารอให้ผู้คนจากภายนอกเข้ามาช่วยเหลือ ส่วนประชาชนที่ไม่ได้รับผลกระทบหรือได้รับผลกระทบน้อยๆ ไม่ควรเน้นใช้ชีวิตอย่างบันเทิงโดยไม่สนใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นต้น
ผู้เข้าร่วมยังได้ยกตัวอย่างบทเรียนจากต่างประเทศ เช่น ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้วก็มีการจัดการที่ไม่เป็นระบบเหมือนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่หาดใหญ่ ณ ขณะนี้ แต่หลังจากที่มีการก่อตั้งองค์กร NADMA ในปี 2015 เพื่อสร้างระบบบัญชาการภัยพิบัติ ส่งผลให้เห็นได้ชัดว่าปัจจุบันมีการจัดการที่เป็นระบบมากกว่าเรามาก
ข้อเสนอหนึ่งจากผู้เข้าร่วมคือ ควรจัดทำ Flood Mark อาจจะเป็นเครื่องหมาย หรือเสาสถิติระดับน้ำ ที่แสดงระดับความสูงของน้ำท่วมที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีต ณ จุดนั้นๆ เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์น้ำท่วมได้ง่ายขึ้น ช่วยในการเตือนภัยและวางแผนอพยพได้อย่างแม่นยำ กำหนดจุดปลอดภัยให้ชัด วางหลักการว่าระดับน้ำถึงจุดไหนควรอพยพกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ เด็ก และน้ำขึ้นระดับไหนประชาชนทั่วไปควรอพยพ ส่วนคนที่ไม่ยอมอพยพควรเตรียมอาหารให้ได้จำนวนมาก
มีข้อเสนอว่าเครือข่ายต่างๆ ควรมีความร่วมมือให้มากกว่าที่เป็น เช่น กลุ่มที่ทำงานฐานข้อมูลควรเชื่อมประสานกันเรื่องข้อมูลให้ได้ อาสาสมัครควรได้รับการอบรมอย่างเป็นระบบ เป็นต้น ประเด็นสำคัญคือ ภาคประชาชนที่มีอาสาสมัครจำนวนมาก แต่มีทรัพยากรอย่างจำกัด จะสามารถใช้ทรัพยากรของภาครัฐจำนวนมากได้อย่างไร เป็นหนึ่งในโจทย์ที่สำคัญ ดังนั้น จึงควรมีพื้นที่กลางของการทำงานระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชนเกิดขึ้นมาในอนาคต






